บุนสงน่าม หรือ บุญเดือนห้า

บุนสงน่าม หรือ บุญเดือนห้า
สงน่าม เขียนตามเสียงพูดของคนอีสาน ตามกับภาษาไทยว่า สรงน้ำ เป็นคำกริยา แปลว่า อาบน้ำ ซึ่งคำนี้ใช้แก่บรรพชิตและเจ้านาย
เป็นคำที่มาจากภาษาเขมร
ฉะนั้น บุนสงน่าม จึงหมายถึง การทำบุญที่เอาน้ำอบน้ำหอม โปรดหรือไปสรงพระพุทธรูปพระภิกษุสงฆ์ และคนเฒ่าคนแก่ที่เราเคารพนับถือ มีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น
มูลเหตุที่ทำ เนื่องจากเดือนห้าถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวอีสารมาแต่โบราณ โดยจะถือเอาวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 เป็นวันเริ่มต้นการทำบุญ
![]() |
![]() |
อย่างไรก็ตาม “ฮีตที่ 5 หรือ บุนเดือนห้า” นี้ก็คือ “บุญวันขึ้นปีใหม่ของชาวอีสานนั้นเอง” ซึ่งมีวันสำคัญ 3 วันดังนี้
วันแรก คืนวันขึ้น 15 ค่ำเดือนห้า ถือเป็นวันสิ้นปีเก่า เรียกว่า “มื้อสังขารล่อง” วันนี้จึงเริ่มด้วยการทำความสะอาดพระพุทธรูปและวัตถุมงคล แล้วสรงน้ำพระพุทธรูปด้วยน้ำอบ น้ำหอม
วันที่สอง คือวันแรม 1 ค่ำเดือนห้า เรียกว่า “มื้อเนา” ซึ่งเป็นวันหยุด จึงควรพากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดาญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว
วันที่สาม คือวันแรม 2 ค่ำ เรียกว่า “มื้อสังขารล่อง” หรือวันขึ้นปีใหม่นั้นเองซึ่งในวันนี้ควรทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสามเณร แล้วนำน้ำอบ น้ำหอมไปรดน้ำคารวะ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ตลอดครูวาอาจารย์หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่ตนเตารพนับถือและยังมีชีวิตอยู่จากนั้นควรไปปล่อยนก ปล่อยปลา เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของตน
หลังพิธีสรงน้ำพระพุทธรูปแล้วก็จะมีพิธี “สงน้ำพระสงฆ์” โดยในสมัยก่อนญาติโยมจะพากันหาน้ำไปเทใส่ไว้ในโอ่งของวัดจนเต็มหมดทุกโอ่ง เพื่อจะให้ภิกษุสามเณรใช้อาบ แต่ทุกวันนี้ทุกวัดมีน้ำประใช้ พิธีพิธีสงฆ์น้ำพระสงฆ์เปลี่ยนไป โดยนำน้ำอบน้ำหอมที่เหลือจากสงน้ำพระพุทธรูปแล้วไปรดมือพระสงฆ์ ต่อจากนั้นก็เล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อกลับจากวัดแล้วก็จะเป็น “พิธีสรงน้ำผู้เฒ่าผู้แก่” ในหมู่บ้าน โดยพวกสาวๆ จะหาบน้ำไปให้ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ตนรักและเคารพ อาบ และพวกลูกสะใภ้ทั้งหลายต้องหาบน้ำไปให้แม่และพ่อสามีตนอาบ เช่นกัน หากไม่กระทำถือว่า “ผิดคอง” ชาวบ้านจะพากันประณามว่าเป็นคนไม่ดี
ปัจจุบันทุกบ้านเรือนมีน้ำประปาใช้ พิธีสรงน้ำ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็เปลี่ยนเป็น “รดน้ำขอพร” แทน โดยลูกหลานจะนำน้ำอบ น้ำหอมไปรดน้ำที่ฝ่ามือ ปู่ ย่า ตา ยาย และพ่อแม่ ของตน พร้อมเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ผ้าไหว้ (ผ้าเช็ดตัว ผ้าขาวม้า ผ้านุ่ง ฯลฯ) แทนการหาบน้ำไปให้อาบ
![]() |
![]() |
พิธีกรรม เริ่มด้วยการ เอาพระลง หรือ การสรงน้ำพระพุทธรูป แต่ชาวบ้านเรียกว่า เอาพระลง ซึ่งจะเริ่มเวลาประมาณบ่ายสามโมง (15.00 น.) ของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 พระสงฆ์จะตี กลองโฮม (กลองใบใหญ่ในวัด) เป็นสัญญาณบอกให้ญาติโยมในหมู่บ้านออกมารวมกันที่วัด
พระภิกษุสามเณรทั้งหมดในวัดจะนำพระพุทธรูปทั้งหมดที่ประดิษฐานไว้ในที่ต่างๆ ของวัดมาทำความสะอาดด้วยการขัดถูให้เกลี้ยง แล้วนำมาตั้งรวมกันไว้ในศาลาโรงธรรมหรือในพระอุโบสถแล้วแต่กรณี พระสงฆ์สามเณรทั้งวัดก็จะมานั่งอาสนะที่จัดไว้ ญาติโยมที่มาวัดจะนำน้ำอบน้ำหอมพร้อมดอกไม้ธูปเทียน เมื่อพร้อมกันแล้วผู้เป็นประธานพิธี ซึ่งส่วนมากได้แก่ มรรคทายกวัด จะเป็นผู้นำกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว ญาติโยมทำพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป โดยนำดอกไม้ธูปเทียนสักการะ แล้วนำน้ำอบน้ำหอบสรงน้ำพระพุทธรูปทั้งหมดที่มีอยู่วัด และจะทำเช่นนี้ในเวลาเดียวกันจนถึงวันเพ็ญเดือนหก (ครบหนึ่งเดือน) ถึงจะเอา “พระขึ้น” คือ เอาพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม แต่ปัจจุบันใช้เวลาสรงน้ำพระพุทธรูปเพียงสามวันก็เอาพระขึ้นแล้ว เพราะญาติโยมต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปประกอบอาชีพทำมาหาเลี้ยงตนเอง
ปัจจุบัน “บุนสงน่าม” ของชาวอีสานได้ปรับเปลี่ยนเป็น “วันสงกรานต์” ตามการกำหนดของทางราชการ โดยถือเอาวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปีเป็นเกณฑ์ โดยไม่เกี่ยวว่าทั้งสามนั้นจะตรงกับวันขึ้นหรือแรมกี่ค่ำของเดือนห้า และในวันสงกรานต์ดังกล่าวก็มหรสพต่างๆ เพื่อความรื่นเริง มีการทำบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา รดน้ำผู้ใหญ่ที่เราเคารพถือเพื่อขอพรและสงน้ำพระพุทธรูป ส่วนหนุ่มสาวและเด็กๆ ก็จะเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานนอกจากนี้นับตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2532 เป็นต้นมา คณะรัฐรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้มี “มติ” กำหนดให้วันที่ 15 เมษายนของทุกปี “วันแห่งครอบครัว” เพื่อให้สมาชิกครอบครัวทุกคนได้มีโอกาสพบปะแล้วอยู่พร้อมหน้ากัน ซึ่งได้แก่ สามี ภริยา บุตรธิดา เป็นการเสริมสร้างความรักความเป็นปึกแผ่น และความผูกพันอันแนบแน่นระหว่างสมาชิกในครอบครัวให้มั่นคงถาวรตลอดไป
ดวงเดือน ไชยโสดา…
เอกสารอ้างอิง : วัฒนธรรมอีสาน : 100 ปี ชาตกาลคำดี สาระผล . 2555. ขอนแก่น : โรงพิมพ์พระธรรมขันต์