ปรางค์กู่บ้านเขวา : กู่เทวสถาน 200 ปีที่มหาสารคาม
ปรางค์กู่บ้านเขวา
กู่เทวสถาน 200 ปีที่มหาสารคาม
กู่คูมหาธาตุ หรือ ปรางค์กู่บ้านเขวา ตั้งอยู่ที่บ้านเขวา ตำบลเขวา อำเภอเมือง มหาสารคาม ห่างจากตัวเมืองไปตามถนนแจ้งสนิท 13 กิโลเมตร เป็นโบราณสถานที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 18
สร้างด้วยศิลาแลงทั้งหมด เป็นรูปกระโจมสี่เหลี่ยมสูงจากพื้นดินถึงยอด 4 วา กว้าง 2 วา 2 ศอก กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478
กรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งและบูรณะด้วยวิธีอนัสติโลซิส
(Anastylosis) คือรื้อออกแล้วประกอบใหม่เข้าที่เดิม เมื่อปี พ.ศ.
2540-2541 กู่บ้านเขวา มีผังหลักของอาคาร คือ ปราสาทประธาน
ก่อด้วยศิลาแลง มีเรือนธาตุ (ห้องครรภคฤหะ) เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเพิ่มมุมขนาด 5×5 เมตร มีมุขต่อยื่นด้านหน้า (ทิศตะวันออก)
ส่วนบนทำเป็นชั้นลดเลียนแบบเรือนธาตุซ้อนกันขึ้นไป 4 ชั้น จึงถึงส่วนบัวยอดปราสาท บริเวณมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน มีวิหารหรือบรรณาลัย 1 หลัง มีขนาด 6×7.5 เมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แต่คงเหลือเพียงส่วนฐานรากที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีมุขยื่นเท่านั้น
มีกำแพงศิลาแลงล้อมรอบ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาด กว้าง 25×37 เมตร บริเวณกึ่งกลางกำแพงแก้วด้านหน้า (ทิศตะวันออก) มีประตูซุ้ม (โคปุระ) ที่มีผังเป็นรูปกากบาท ขนาด 10×11 เมตร เพื่อใช้เป็นทางเข้าสู่ศาสนสถาน ซึ่งมีสภาพชำรุดไปมากแล้ว ภายในปราสาทเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพจำนวน 2 องค์ ทำด้วยดินเผา นั่งขัดสมาธิ ประนมมือถือสังข์ ปัจจุบันได้นำไปเก็บรักษาไว้ในวัดมหาชัย ตำบลตลาด อำเภอเมือง มหาสารคาม
จากการขุดแต่งและบูรณะ พบโบราณวัตถุสำคัญหลายชิ้น ได้แก่ จารึกที่วงกบประตูห้องมุขหน้าปราสาทประธาน เป็นจารึกอักษรขอม ภาษาสันสกฤตจำนวน 2 บรรทัด ซึ่งอาจารย์ชะเอม แก้วคล้าย ผู้เชี่ยวชาญด้านจารึกและภาษาบาลีสันสกฤต กรมศิลปากร ได้อ่านและแปล มีความว่า เชิญ / บูชา
พระเจ้าที่อยู่ในอาศรม และกำหนดอายุจากรูปอักษรไว้ราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 นอกจากนี้ยังได้พบพระบุเงิน เป็นศิลปะล้านช้าง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 21- 22 หลายสิบองค์บรรจุอยู่ในไห พบภาชนะดินเผา กระเบื้องดินเผาและเครื่องประดับหลังคากระจายอยู่ทั่วไป นักโบราณคดีสันนิษฐานว่าปรางค์กู่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาสนสถานประจำสถานพยาบาล (อโรคยศาล) ในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นศิลปะแบบบายนของขอม เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 18 ซึ่งจารึกจากปราสาทตาพรหมของขอม ได้กล่าวถึงการสร้าง อโรคยศาล จำนวน 102 แห่ง ในรัชสมัยของพระองค์ (ในดินแดนประเทศไทยได้พบอาคารที่มีผังรูปแบบเช่นเดียวกันนี้กว่า 20 แห่ง) อย่างไรก็ตาม หลังจากสิ้นสุดอิทธิพลจากอาณาจักรขอมแล้วศาสนสถานนี้ก็ยังมีการเคารพนับถือกันสืบต่อมา ในศิลปะแบบล้านช้าง ราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 ด้วย
มีกำแพงทำด้วยศิลาแลงล้อมรอบ โคปุระอยู่แนวด้านทิศตะวันออกเป็นทางเข้า-ออกภายในกำแพงเพียงด้านเดียว บรรณาลัยอยู่ภายในกำแพงแก้วด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีทางเข้าในปรางค์ประธานเพียงด้านเดียว คือ ทิศตะวันออก ส่วนอีก ๓ ด้านเป็นประตูหลอก กรอบประตูและทับหลังเป็นหินทราย
ในการขุดแต่งภายในบริเวณศาสนสถานยังได้พบโบราณวัตถุ ได้แก่
- พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์ประภา
เป็นประติมากรรมสลักจากหินทราย มีความสูง 46 เซนติเมตร หน้าตักกว้าง 31 เซนติเมตร
ลักษณะเป็นรูปเคารพประทับนั่งสมาธิราบ สวมมงกุฎกระบังหน้า ยอดบนเป็นกรวยแหลม พระหัตถ์ทั้งสองถือวัตถุทรงกลม สันนิษฐานกันว่า อาจเป็นรูปพระโพธิสัตว์ไภสัชยคุรุไวฑูรย์ ประภา พระโพธิสัตว์ผู้รักษาโรคภัย (ทั้งปวง) ตามที่มักปรากฏชื่อในศิลาจารึกประจำอโรคยศาลทั่วไป รูปเคารพชิ้นนี้ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่วัดมหาชัย ตำบลตลาด อำเภอเมืองมหาสารคาม
- พระวัชรปาณีทรงครุฑ
ประติมากรรมพระวัชรปาณีทรงครุฑชิ้นนี้ สลักจากหินทราย แต่มีสภาพชำรุดโดยมีส่วนลำตัวเบื้องล่างของครุฑหักหายไปทั้งหมด นอกจากนี้ใบหน้าของพระวัชรปาณีก็แตกชำรุด ประติมากรรมดังกล่าว พบระหว่างการขุดแต่งบูรณะกู่บ้านเขวา เมื่อปี พ.ศ. 2541 พระวัชรปาณีรูปแบบเช่นนี้ ได้ค้นพบมาแล้วจากปราสาทหินหลายแห่ง เช่น กู่แก้ว อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ปราสาทจอมพระ และกลุ่มปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์ เป็นต้น สำหรับพระโพธิสัตว์วัชรปาณีนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ถือวัชระมีหน้าที่คอยดูแลรักษา พุทธศาสนา นิกายมหายาน ซึ่งเป็นศาสนาที่นับถือกันในสมัยนั้นประติมากรรมดังกล่าวเป็นงานศิลปกรรมแบบบายนราวพุทธศตวรรษที่ 18
- พระพุทธรูปบุเงิน
ในการขุดแต่งกู่บ้านเขวาเมื่อปี พ.ศ.2540-2541 ได้พบภาชนะดินเผาทรงไหหลายใบ ซึ่งภายในไหได้บรรจุพระพุทธรูปบุเงินประมาณ 20-30 องค์ต่อใบ พระพุทธรูปบุเงินเหล่านี้แกนในทำจากเนื้อดินผสมว่านแล้วจึงนำแผ่นเงินมาหุ้ม (บุ) โดยรอบ จากนั้นจึงแกะลายแผ่นเงินเป็นรายละเอียดขององค์พระพุทธรูป นอกจากนี้ที่ฐานของพระบุเงินบางองค์ยังมีการจารึกข้อความด้วยอักษรไทยน้อยไว้ด้วย โดยเป็นข้อความบอกกล่าวถึงจุดประสงค์ในการสร้าง เพื่อหวังพระนิพพานและเพื่อการอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ พระบุเงินนี้เป็นศิลปะลาวล้านช้าง อายุราวศตวรรษที่ 21-24
เรื่องโดย ดวงเดือน ไชยโสดา
โพสต์เมื่อ 8 พฤษภาคม 2568, 12.29 โดย ดวงเดือน ไชยโสดา
เอกสารอ้างอิง
ทศพล จังพานิชย์กุล. (2548, 16 มกราคม). ข่าวสด. 29.
กรมวิชาการ. ตักสิลามหาสารคาม : สะดืออีสาน. มหาสารคาม : กรมวิชาการ, 2546.
คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสาร และจดหมายเหตุในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. วัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดมหาสารคาม. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2544.
สำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น. โบราณสถานขึ้นทะเบียนในเขตสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น. กรุงเทพฯ : สำนักงาน, 2545.
สุทธิชัย ปทุมล่องทอง. ที่นี่ประเทศไทย : ท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์, 2549.